นักลงทุนต่างชาติ นักลงทุนประเภทนี้เป็นนักลงทุนประเทศใดก็ได้ที่ไม่ถือสัญชาติไทย แต่โดยส่วนใหญ่แล้วนักลงทุนกลุ่มนี้ก็จะเป็นนักลงทุนในรูปแบบกองทุนรวมเหมือนกัน เพียงแต่เป็นกองทุนของต่างประเทศเท่านั้น ซึ่งนักลงทุนกลุ่มนี้ถือว่ามีคววามสำคัญต่อตลาดหุ้นไทยมากพอสมควร เพราะถ้าหากนักลงทุนต่างประเทศนำเงินเข้ามาลงทุนในประเทศไทยจำนวนมาก ตลาดหุ้นไทยก็จะมีสภาพคล่องสูงขึ้นและมีเงินเข้ามาหมุนเวียนในประเทศมากขึ้น มีผลทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นตามไปด้วย 3. นักลงทุนรายย่อยในประเทศ เป็นกลุ่มที่มีประชากรสูงที่สุดในกลุ่มนักลงทุนทั้ง 4 กลุ่ม และเป็นกลุ่มนักลงทุนที่มีช่วงของขนาดพอร์ตกว้างที่สุดเลยก็ว่าได้คือ มีมูลค่าเงินลงทุนในพอร์ตตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักหมื่น หลักหลายล้าน และเป็นนักลงทุนที่ลงทุนด้วยเงินทุนของตนเอง โดยไม่มีการระดมทุนแต่อย่างใด 4. นักลงทุนกลุ่มโบรเกอร์หรือบริษัทหลักทรัพย์ เป็นกลุ่มนักลงทุนที่ใช้เงินทุนของตนเองและไม่มีการระดมทุน แต่จะแตกต่างจากนักลงทุนรายย่อยตรงที่นักลงทุนกลุ่มโบรเกอร์จะมีการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล สำหรับแนวทางการลงทุนของแต่ละกลุ่มลงทุนนั้นจะแต่ต่างกันออกไป โดยแนวทางการลงทุนสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทดังนี้ 1.
อัตราส่วนทางการเงิน หรือ Ratio เป็นการดูเพื่อวิเคราะห์ธุรกิจนั้น ๆ แบบเจาะลึกในด้านต่าง ๆ เช่น อัตราส่วนสภาพคล่องทางการเงิน ( Current Ratio) อัตรากำไรสุทธิ ( Net Profit Margin) อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ ( ROA) อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ( ROE) ความถูกแพงของราคาหุ้น ( PE Ratio) ติดตามคำศัพท์การเงินอื่น ๆ ได้ ที่นี่ การย่อส่วนตามแนวดิ่ง (Common Size) คืออะไร?
DCA (Dollar Cost Averaging) DCA เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ได้รับความนิยมในกลุ่มนักลงทุนที่ไม่ค่อยมีเวลาว่างมากนัก ค่อนข้างคล้ายกับนักลงทุนสาย Buy & HODL DCA คือการที่นักลงทุนจะ เข้าซื้อเหรียญด้วยเงินเท่า ๆ กันทุกเดือน โดยไม่สนราคาเหรียญ ณ ขณะนั้นมากนัก เช่น เมื่อเงินเดือนออกทุกสิ้นเดือน นักลงทุนอาจหักเงินเดือน 10% เพื่อซื้อเหรียญสะสมไปเรื่อย ๆ จึงเปรียบได้กับการออมเงินรูปแบบหนึ่ง โดยมีโอกาสที่มูลค่าของเหรียญที่สะสมจะเติบโตขึ้นในอนาคตเช่นกัน สาย DCA เหมาะกับผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลาว่าง ต้องการออมเงิน และสามารถยอมรับความผันผวนของราคาได้ในระดับสูง 4. TA (Technical Analysis) นักลงทุนสาย Technical Analysis เรียกได้ว่า มีความรู้ความเข้าใจในเชิงเทคนิคระดับเทพ โดยสามารถวิเคราะห์ทิศทางราคาในอนาคตได้ โดยดูจากข้อมูลหรือรูปแบบที่เคยเกิดขึ้นในอดีต หรือใช้เครื่องมือต่าง ๆ อาทิ เส้นแนวรับ-แนวต้าน เส้นเทรนด์ MACD RSI หรือเครื่องมืออื่น ๆ มาประกอบการวิเคราะห์ และสร้างกลยุทธ์ซื้อขายที่เหมาะสมได้ทั้งระยะสั้นและระยะยาว สาย TA เหมาะกับผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจในการวิเคราะห์ด้วยปัจจัยเทคนิค การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ต่าง ๆ และมีประสบการณ์ ในการเทรดระดับหนึ่ง 5.
พูดคำแปลภาษา อิ สาน, 2024